TDRI ชี้ Digital Wallet มีประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจต่ำ

ดร. นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า กรณีที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี พร้อมปรับลดประมาณการการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลดลงอยู่ที่ 2.4% และปี 2567 อยู่ที่ 3.2% นั้น เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มว่าจะเติบโตช้ากว่าเดิม ซึ่งมาจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยชะลอตัวลง ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมีจำนวนน้อยกว่าที่คาดมาก 

ส่วน หากรวมผลของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล จีดีพีของไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 3.8% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 4.4% หรือมีผลต่อจีดีพีเพียง 0.6% นั้น ก็เพราะ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คิดเป็นเม็ดเงิน 5 แสนล้าน แต่ได้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แค่ 0.6% สะท้อนประสิทธิภาพของโครงการที่ต่ำมาก เพราะเป็นวิธีการให้แบบโอนเงิน ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำ หรือ สร้างการหมุนเวียนเงินระบบเศรษฐกิจได้น้อย

“ โครงการเงินดิจิทัลคิด เป็นเม็ดเงิน 5 แสนล้าน หรือเกือบจะ 3% ของจีดีพี เพราะเป็นการโอนเงิน ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำ ” ดร.นณริฎกล่าว 

ดร.รณริฎ กล่าวด้วยว่า การชะลอตัวกว่าที่คาดของเศรษฐกิจไทย ทำให้น้ำหนักในการกระตุ้นเศรษฐกิจมีมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับศักยภาพที่ควรจะโตเฉลี่ยที่ 3.6-3.7% ต่อปี แปลว่า ส่วนต่างที่ต้องกระตุ้นมีประมาณ 1.2% ในปีนี้ และ 0.4% ในปีหน้า รวมแล้วก็คือ เม็ดเงิน 1.6% หรือราวๆ 2-3 แสนล้านบาท และถ้าคิดว่ามาตรการที่ดีควรให้ผลราวๆ 2 เท่าจะแปลว่าเม็ดเงินของโครงการกระตุ้นราวๆ 1-1.5 แสนล้านบาทน่าจะเพียงพอ

ทั้งนี้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ระบุว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ใช้งบประมาณในการทำโครงการราว 500,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้กับคนไทยจำนวน 50 ล้านคน สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย ได้ราว 3.3 รอบ เพิ่มการขยายตัวเศรษฐกิจได้ประมาณ 2-3% ต่อปี